วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เริ่มต้นกับการเล่นหุ้นง่ายๆ

การเล่นหุ้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ตอนนี้ตลาดขึ้นมาสูงแล้วคงต้องมีย่อและพักฐาน การจะลงทุนควรคิดถึงความเสี่ยง แต่ถ้ารอตลาดย่อคงอีกกลายเดือนอยู่เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นอยู่ ผลประกอบของตลาดในปีนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก ถ้าอยากลงทุน แต่ขี้เกียจคิด ขี้เกียจดู ก็ไปซื้อ LTF ดีกว่า
ส่วนถ้าใครไม่อยากลงทุน ก็ไม่ต้องลงทุน

เริ่มต้นยังไง
- เปิดพอร์ต กับ บริษัทโบรกเกอร์

ต้องใช้เงินเท่าไร
- ขั้นต่ำหุ้นที่เราซื้อได้คือ 100 หุ้น เช่น หุ้นตัวละ 5 บาท 100 ตัว ก็ 500 บาท

ในการเล่นหุ้นเสียค่าธรรมเนียมอย่างไร
- ค่าธรรมเนียมคิดเป็น 100 ละ 0.15 เช่น เราเล่น 100,000 เราต้องเสียค่าธรรมเนียม 150 บาท ถ้าค่าธรรมเนียมไม่ถึง 50 บาทจะคิด 50 บาทต่อวัน

เวปตลาดหลักทรัพย์
- www.set.or.th

การเลือกหุ้นที่จะลงทุน
- เปิดเวป http://www.settrade.com ตลาดหุ้นจะมี 2 อันคือ ตลาด SET กับ mai ความแตกต่างก็คือ ตลาด SET จะเป็นเหมือนตลาดหลัก มีแต่หุ้นมูลค่าสูง ส่วน mai จะเป็นหุ้นขนาดเล็กในตลาด SET ก็จะแบ่งเป็น 3 อันก็คือ SET , SET100 , SET50 โดยที่SET จะมีหุ้นทุกบริษัทแต่ใน SET100 จะคัดหุ้นที่พื้นฐานดี มูลค่าสูงมา 100 ตัว และ SET50 ก็คัดมาเหลือ 50 ตัว และยังมีตลาด MSCI สำหรับชาวต่างชาติอีก

- หลังจากที่รู้จักตลาดหุ้นแล้วเราก็มาหาหุ้นที่จะลงทุน
สมมุติ ผมสนใจ PTT บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยากที่ทุกคนรู้บริษัทนี้ขายน้ำมันสิ่งที่เราควรดู คือ งบการเงินและผลประกอบการของบริษัท










ส่วนที่สำคัญ
สินทรัพย์ คือ เงินที่บริษัทถืออยู่
หนี้สิน คือ หนี้สินค้างชำระ
รายได้ คือ รายได้ทั้งหมด
กำไร / ขาดทุน คือ ผลกำไรที่หักต้นทุนแล้ว
อัตรากำไรสุทธิ คือ ผลกำไรต่อหุ้น
จากตัวอย่าง PTT ในไตรมาส 3 มีกำไร 61,400 ล้านบาท บ่งชี้ว่าในปีนี้ PTT น่าจะกำไรมากกว่าปีที่แล้วเกือบ 20%


หลังจากเราดูงบการเงินของ PTT แล้วเรามาดูราคาของ PTT กัน
- PTT ในปัจจุบันมีราคา ที่ 321.00 บาทต่อหุ้น สิ่งสำคัญที่เราควรดูคือ ค่า PE Ratio หรือ ราคาปิดต่อกำไรสุทธิโดยค่า PE จะมาจาก นำ ราคาหุ้น / ผลประกอบการที่มีกำไร
จากตัวอย่าง PTT มีค่า PE คือ 11.92 หรือพูดง่ายๆราคาหุ้น PTT เกินความเป็นจริงมา 11 เท่าแล้ว
ค่า PE ก็เปรียมเสมือนความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ถ้าหุ้น PE สูงเกินไปก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปเล่นแล้วอย่าง PTT มี PE 11 ถือว่าเยอะใหมสำหรับผมถือว่ากลางๆ


หลังจากดูรายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นแล้ว เราก็มาดู ผลตอบแทนเงินปันผล
- จากตัวอย่าง PTT มี ผลตอบแทนเงินปันผล 2.63% หรือก็คือ จากราคาหุ้นปัจจุบัน PTT จะจ่ายเงินปันผลให้เรา 2.63%ส่วนจะจ่ายเมื่อไร ทาง PTT จะประกาศให้ทราบ หลายคนสงสัย แล้วถ้าเราอยากได้ปันผลเราต้องถือตั้งแต่เมื่อไรตอบง่ายๆ สมมุติ วันคัดรายชื่อปันผลคือวันที่ 20 ธ.ค. เราสามารถซื้อหุ้นวันที่ 19 ธ.ค. ก็จะได้รับเงินปันผลแต่โดยส่วนมากก่อนวันปันผล ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นก่อนวันปันผล พอเลยวันคัดรายชื่อ ราคาหุ้นก็จะร่วงลงเพราะฉะนั้นท่าจะซื้อเอาปันผล ควรจะถือก่อนวันคัดรายชื่อสักพัก

หลังจากเราดูรายละเอียดหุ้นของหุ้นแล้ว เราก็มาดูปัจจัยภายนอกกันมั่ง ปัจจัยที่สำคัญก็คือข่าว
- อย่างเช่น เราถือ PTT อยู่ สิ่งที่เราควรรู้คือกำไรของ PTT มาจากไหน กำไรของ PTT มาจากการขายน้ำมันในประเทศไม่ได้ส่งออกเพราะฉะนั้นถ้าราคาน้ำมันโลกตกล่ะ กำไรของ PTT ก็จะมากขึ้น เพราะ PTT นำเข้าน้ำมันบางส่วน ทำให้ราคาหุ้นของ PTT ก็จะพุ่งตามไปด้วย

หลังจากเรารู้ปัจจัยภายนอกและภายในแล้ว เรามารู้จักปัจจัยเทคนิคของราคาหุ้นกันต่อ
- จากตัวอย่าง PTT กำไรตลอดแล้วทำไมราคาในแต่ละวันไม่เพิ่มตลอดบางช่วงร่วงด้วย มันมาจากปัจจัยทางเทคนิคไม่มีหุ้นตัวไหนที่ขึ้นตลอด ต้องมีย่อ มีพัก มีขายเพื่อทำกำไรของนักลงทุนกันบ้าง

การทำกำไรของนักลงทุน
- โดยนักลงทุนจะแบ่งเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ กองทุน ต่างชาติ และก็รายย่อยบางคนถามว่า กองทุน คืออะไร กองทุน ก็คือ พวกที่ขาย LTF สลากกินแบ่งรัฐบาล กบข. ธนาคาร มีหลายอย่าง ต่างๆ นานา

- สิ่งที่เราควรรู้ สำหรับปัจจัยทางเทคนิค
จำนวนที่ช่วยต่างชาติซื้อ ชาวต่างชาติจะซื้อหุ้น ผ่านบริษัทโบรกเกอร์ ด้วยเราสามารถดูข้อมูล
จาก http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do
ส่วนกราฟทางเทคนิค
จาก http://inv2.asiaplus.co.th/aspapp/ms4j.php
เวปที่วิเคราะห์หุ้นและข่าว
จาก http://www.thaivi.com/webboard/
เวปสำหรับตามข่าวทั่วไปเกี่ยวกับหุ้น
จาก http://www.pantip.com/ ห้องสินธร
ข่าวสารที่สำคัญ
จาก
www.set.or.th
เราสามารถอ่านข่าวได้ แต่ต้องเก็บมาคิดเองอย่าเชื่อไปซะหมด

หลังจากเราเริ่มเล่นหุ้นแล้วสิ่งที่เราควรรู้
- การ cut loss การตัดใจขายเมื่อหุ้นตก เราต้องตัดสินใจทันทีว่า เมื่อหุ้นเราตกถึงเท่าไร เราขายทันที
เพราะบางทีเราไม่รู้ว่า มันตกเพราะอะไร และ จะตกไปขนาดไหน

เราจะหาหุ้นจากไหน
- หุ้นที่มีการพูดถึงมาก แสดงว่าอยู่ในความสนใจ

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Midway Island

Midway Atoll (or Midway Island or Midway Islands, pronounced /ˈmɪdweɪ/; Hawaiian: Pihemanu Kauihelani [1]) is a 2.4-square-mile (6.2 km²) atoll located in the North Pacific Ocean (near the northwestern end of the Hawaiian archipelago), about one-third of the way between Honolulu and Tokyo. Midway Atoll is an unorganized, unincorporated territory of the United States. It is less than 140 nautical miles (259 km; 161 mi) east of the International Date Line, about 2,800 nautical miles (5,200 km; 3,200 mi) west of San Francisco, and 2,200 nautical miles (4,100 km; 2,500 mi) east of Tokyo. It consists of a ring-shaped barrier reef and several sand islets. The two significant pieces of land, Sand Island and Eastern Island, provide habitat for millions of seabirds.

Aleutian Islands

During World War II, small parts of the Aleutian islands were occupied by Japanese forces, when Attu and Kiska were invaded in order to divert American forces away from the main Japanese attack at Midway Atoll. The U.S. Navy, having broken the Japanese naval codes, knew that this was just a diversion, and it did not expend large amounts of effort in defending the islands. A few Americans were taken to Japan as prisoners of war. Most of the civilian population of the Aleutians were interned by the United States in camps in the Alaska Panhandle. During the Aleutian Islands Campaign, American and Canadian forces invaded Japanese-held Attu and defeated the Japanese, and subsequently regained control of all the islands. The islands were also a stopping point for hundreds of aircraft sent from California to Russia as part of the war effort.[dubious – discuss]

Monday, June 3, 2002 was celebrated as Dutch Harbor Remembrance Day. The governor of Alaska ordered state flags lowered to half-staff to honor the 78 soldiers who died during the two-day Japanese air attack in 1942. The Aleutian World War II National Historic Area Visitors Center opened in June 2002.

Admiral Chester Nimitz

Chester Nimitz was born in Fredericksburg, Texas, on 24th February, 1885. He attended the United States Naval Academy at Annapolis and graduated in 1905 (7/144) and joined the United States Navy.

He served in the Philippines and in 1909 was assigned to underwater service. Although he initially disliked this move he eventually became the navy's leading authority on submarines.

In 1912 he was given command of the Atlantic Submarine Flotilla and the following year spent time with the German Navy studying diesel engines. When he returned to the United States he recommended their use by the United States Navy.

During the First World War Nimitz was chief of staff in the Atlantic Submarine Force. He also set up the Reserve Officer Training Corps program at the University of California (1926-29). Afterwards he headed the San Diego destroyer base, was captain of the cruiser Augusta and was assistant chief of the Bureau of Navigation in Washington.

Promoted to rear admiral in 1938 Nimitz commanded Cruiser Division and Battleship Division before becoming chief of the Bureau of Navigation.

After the bombing of Pearl Harbor Nimitz was was placed in charge of the Pacific Fleet. Urged on by Admiral Ernest King, Commander in Chief of the US Fleet, Nimitz sent William Halsey to attack the Marshall Islands and Frank Fletcher to raid the Gilbert Islands.

Nimitz, King and General Douglas MacArthur, Supreme Commander of the Southwest Pacific, decided that their first objective should be to establish and protect a line of communications across the South Pacific to Australia. This resulted in the battles of Coral Sea and Midway, where the Japanese Navy lost all four of her carriers.

Throughout the war Nimitz met regularly with Admiral Ernest King and General Douglas MacArthur. King and MacArthur constantly clashed over strategy. Whereas MacArthur favoured an early return to the Philippines King wanted the islands bypassed so that all available resources could be employed to take Formosa. King believed that the island could then be used as a base for invading mainland China. Unable to gain agreement the matter was eventually passed to Franklin D. Roosevelt to make the decision.

In December 1944 Nimitz, William Leahy and Ernest King were all given the five star rank of Fleet Admiral. At the end of the Second World War Nimitz was succeeded by Raymond Spruance as commander of the Pacific Fleet. In November 1945 Nimitz replaced King as Commander in Chief of the US Fleet.

Nimitz retired from the United States Navy in 1947 and two years later accepted the post as a good will ambassador for the United Nations. Chester Nimitz, who declined to write his memoirs, died at his home in San Francisco Bay on 20th February 1966
.

Admiral Raymond Spruance

Raymond Spruance was born in Baltimore, Maryland, on 3rd July, 1886. He attended the United States Naval Academy at Annapolis and graduated in 1907 (24/209) and joined the United States Navy.

Spruance specialized in electrical engineering and spent a year seconded to the General Electric Company. After the First World War he commanded destroyers and studied at the Naval War College (1926-27).

In 1938 Spruance was given command of the Mississippi and two years later became head of the 10th Naval District based in San Juan. Spruance was promoted to rear admiral in December 1940 and two years later was appointed head of Cruiser Division 5 in the Pacific.

After the United States entered the Second World War Spruance served under William Halsey, the head of Task Group 16. A nervous skin disease meant that Halsey missed the battle of Midway and Spruance led the task force that inflicted considerable damage on the Japanese Navy.

When Halsey returned to duty in June, 1942, Spruance became chief of staff to Chester Nimitz, commander of the Pacific Fleet. The following year Spruance was promoted to vice admiral and became Nimitz's deputy. In this post he played a major role in the planning of the navy's role in the Pacific War.

Spruance became head of the 5th Fleet in September 1943 and held overall command of the assaults on the Gilbert Islands (20th November 1943) and the Marshall Islands (31st January, 1944). In February 1944 he was promoted to full admiral.

Spruance was also given the task of planning the assaults of Iwo Jima and Okinawa. After these successful operations Spruance began to organize the invasion of Japan but the dropping of the atom bombs on Hiroshima and Nagasaki made this unnecessary.

In 1948 Spruance retired from the US Navy and served as ambassador to the Philippines (1952-55). Raymond Spruance, who declined to write his memoirs, died in California on 23rd December 1969.

Admiral Frank Fletcher

Frank Fletcher was born in Iwoa on 29th April, 1885. He attended the United States Naval Academy at Annapolis and graduated in 1906 (26/116) and joined the United States Navy. He won the Medal of Honor at Vera Cruz in 1914 and saw action in the First World War.

In 1941 Fletcher was captain of the Minneapolis and was fortunate to be at sea during the attack on Pearl Harbor. Promoted to rear admiral he was appointed commander of Task Group 14. On board Yorktown, Fletcher helped the defence of Tulagi. This led to the battle of the Coral Sea (6th-8th May, 1942). Fletcher also took part in the battle of Midway (3rd-6th June, 1942).

Admiral Ernest King selected Fletcher to lead the assault on Guadalcana (12th-13th November, 1942). During the campaign Fletcher clashed with Richmond Turner, who was in charge of amphibious operation in the Pacific.

His decision to withdraw his aircraft carriers when he leaned that the Japanese forces were approaching was later criticized. His move left supply ships vulnerable to air attack and denied Alexander Vandegrift and his US Marines air support as they attempted to create a beachhead on the island.

As commander of Task Group 61 Fletcher faced Isoruku Yamamoto at the battle of the Eastern Solomons (23rd-25th August, 1942). During the battle Fletcher was wounded when the Saratoga was hit by a torpedo.

Fletcher took command of naval forces in the North Pacific in 1943 and the following year he became head of the Alaska Sea Frontier.

Frank Fletcher, who retired from the US Navy in June, 1947, and died in Bethesda, Maryland, on 25th April 1973.

Admiral Nobutake Kondo

Nobutake Kondo was born in Japan in 1886. He joined the Japanese Navy and eventually became a vice admiral and commander of the Southern Fleet. On 10th December 1941, Kondo's aircraft sunk Prince of Wales and Repulse.

In 1942 Kondo had overall responsibility for amphibious operations in the Philippines. Kondo also took part in the battle of Midway (3rd-6th June, 1942) where he commanded the 2nd Fleet.

Lieutenant General Alexander Vandegrift and the US Marines had the task of removing the stranglehold of the Japanese in the South Pacific. After the marines conducted their first successful amphibious landings at Guadalcanal on 7th August, 1942, Kondo led the Japanese effort to destroy the beachhead.

At the battle of the Eastern Solomons (23-25 August 1942) Kondo led the Japanese Navy against Frank Fletcher and Thomas Kinkaid. In October 1942 Kondo faced Kinkaid again at Santa Cruz.

Kondo led Japanese forces at the battle off Savo Island (12-13 November, 1942). Kondo's withdrawal marked the the end of the campaign for Guadalcanal.

Appointed a member of the Supreme War Council in May 1945, Nobutake Kondo died in 1953
.

Admiral Chuichi Nagumo

Chuichi Nagumo was born in Japan in 1887. He joined the Japanese Navy and eventually became commander of the Japanese 1st air fleet. A strong supporter of the integration of air and sea power, Nagumo was the director of the air attacks on Pearl Harbor on 7th December, 1941.

Nagumo also organized the bombing raids on Australia, Ceylon and India. After the loss of four aircraft carriers at Midway Nagumo was demoted and was given command of a small naval flotilla in the Marianas.


In 1944 Nagumo was given the task of organizing the defences of Saipan. Chuichi Nagumo committed suicide on 6th July 1944 during the later stages of the Allied conquest of the island.

Admiral Isokoru Yamamoto

Isokoru Yamamoto, the son of a schoolmaster, was born in Japan on 4th April 1884. He attended the Japanese Naval Academy and graduated as seventh in his class. He joined the Japanese Navy and as an ensign he took part in the Russo-Japanese War. Yamamoto was on board a cruiser during the destruction of the Russian Fleet at Tshushima in 1905.

In 1914 Yamamoto was promoted to lieutenant commander and assigned to the Imperial Navy Headquarters in Tokyo. Two years later he was sent to the United States where he studied economics at Harvard University. While in America he also took a keen interest in military aviation.

After his return to Japan Yamamoto became director of the new air training base at Kasumigaura (1923-25) before being appointed as a naval attaché in Washington (1925-27).

In 1930 Yamamoto took command of the 1st Air Fleet and the following year was promoted to rear admiral in charge of the navy's technical service. Yamamoto, who had learnt to fly, became convinced that future wars would be decided by air power and embarked on a massive new building programme.

In 1934 the Japanese built around 445 aircraft. This increased to 952 (1935), 1,181 (1936), 1,511 (1937), 3,201 (1938), 4,467 (1939) and 4,768 (1940). This included fighters, torpedo-bombers and dive-bombers. The most important of these were the fighters Mitsubishi A5M, Nakajima Ki-27, and the Mitsubishi A6M and the bombers Mitsubishi ki-21 and Mitsubishi G3M.

As vice minister of the Japanese Navy Yamamoto arranged for the building of two modern aircraft carriers, Shokaku and the Zuikaku.

In 1938 Yamamoto was appointed a Minister of the Navy and the following year Yamamoto was promoted to admiral and became commander in chief of the Combined Fleet. In this position he attempted to improve the training of men in the Japanese Navy. However, he made a crucial mistake of not fitting Japanese ships with radar.

Yamamoto was opposed the signing of the Tripartite Pact with Nazi Germany as he feared it would lead to war with the United States. He told the Japanese prime minister, Fumimaro Kondoye, that the navy would do well during the first six months but did not believe the country could win a long-term war.

In the early months of 1941, Yamamoto, under instructions from his government, began planning the war with the United States. Yamamoto feared that he did not have the resources to win a long war and therefore advocated a surprise attack on the US Pacific Fleet at Pearl Harbor. Yamamoto's plan was eventually agreed by the Japanese Imperial Staff and the strike force under the command of Vice Admiral Chuichi Nagumo sailed from the Kurile Islands on 26th November, 1941.

Nagumo's fleet was positioned 275 miles north of Oahu. On Sunday, 7th December, 1941, 105 high-level bombers, 135 dive-bombers and 81 fighter aircraft attacked the the US Fleet at Pearl Harbor. In their first attack the Japanese sunk the Arizona, Oklahoma, West Virginia and California. The second attack, launched 45 minutes later, hampered by smoke, created less damage.

In two hours 18 warships, 188 aircraft and 2,403 servicemen were lost in the attack. Luckily, the navy's three aircraft carriers, Enterprise, Lexington and Saratoga, were all at sea at the time. The following day, President Franklin D. Roosevelt and a united US Congress declared war on Japan.

Yamamoto then organized the invasion of the Soloman Islands and New Guinea. He also made raids into British colonies such as Ceylon.

In the summer of 1942 Yamamoto decided to try and capture the US base on Midway Island. He believed that the Japanese Air Force would be able to launch air attacks on the US Fleet at Pearl Harbor. Yamamoto devised a complex plan where the Combined Fleet was split into eight task groups. Two of these groups made a diversionary attack on the Aleutian Islands. The rest of the fleet led by Yamamoto, Vice Admiral Chuichi Nagumo and Vice Admiral Nobutake Kondo, would head for Midway.

Unknown to Yamamoto the US intelligence service and broken the Japanese communication code and informed Admiral Chester Nimitz of the Japanese plans. Nimitz was able to assemble two task forces under Admiral Frank Fletcher and Rear Admiral Raymond Spruance. With the carriers Yorktown, Enterprise and Hornet, eight cruisers, and fifteen destroyers, they also headed for Midway.

On 3rd June, 1942, 100 aircraft from Nagumo's carrier force bombed Midway. The US Marine fighters were outnumbered and were unable to stop extensive damage being caused. While the Japanese aircraft were being rearmed they were attacked by carrier planes from Spruance's Task Force.

While this was taking place Yorktown and Enterprise arrived and scored hits on the Japanese ships, Akagi, Soryu and Kaga. The Hirpu managed to sink the Yorktown before it was set afire by the Enterprise. The Japanese Navy had now lost all four of her aircraft carriers and Yamamoto was forced to order a withdrawal.

Yamamoto now had to organize what was left of his forces to support the 15,000 Japanese troops blockaded on Guadalcanal. Attempts to land large numbers of Japanese troops ended in failure in October 1942. The naval battle at Guadalcanal (12-14 November) ended Japanese efforts to recapture the island.

Yamamoto made plans to visit the Japanese controlled Bougainville on 18th April. He sent out details of his itinerary and this information was intercepted by US intelligence. When Admiral Chester Nimitz heard the news he consulted with William Knox, the Navy Secretary, and Admiral William Halsey, and it was decided to try an assassinate the man responsible for Pearl Harbor.

Operation Vengeance began on 18th April 1943, when 18 aircraft led by Major John W. Mitchell, went out to find the plane carrying Yamamoto. At 9.30 am the US pilot, Thomas G. Lamphier, identified Yamamoto's aircraft approaching Kahili Field on Bougainville. Two bursts from his guns hit the target and the aircraft crashed into the jungle.

The Japanese government did not announce the death of Isokoru Yamamoto until 21st May 1943. He was replaced as commander in chief of the Combined Fleet by Mineichi Koga.

Battle of Midway [Eng]

In 1942 Admiral Isoruku Yamamoto decided to try and capture the US base on Midway Island. He believed that the Japanese Air Force would be able to launch air attacks on the US Fleet at Pearl Harbor. Yamamoto devised a complex plan where the Combined Fleet was split into eight task groups. Two of these groups made a diversionary attack on the Aleutian Islands. The rest of the fleet led by Yamamoto, Vice Admiral Chuichi Nagumo and Vice Admiral Nobutake Kondo, would head for Midway.

Unknown to Yamamoto the US intelligence service and broken the Japanese communication code and informed Admiral Chester Nimitz of the Japanese plans. Nimitz was able to assemble two task forces under Admiral Frank Fletcher and Rear Admiral Raymond Spruance. With the carriers Yorktown, Enterprise and Hornet, eight cruisers, and fifteen destroyers, they also headed for Midway.

On 3rd June, 1942, 100 aircraft from Nagumo's carrier force bombed Midway. The US Marine fighters were outnumbered and were unable to stop extensive damage being caused. While the Japanese aircraft were being rearmed they were attacked by carrier planes from Spruance's Task Force.

While this was taking place Yorktown and Enterprise arrived and scored hits on the Japanese ships, Akagi, Soryu and Kaga. The Hirpu managed to sink the Yorktown before it was set afire by the Enterprise. The Japanese Navy had now lost all four of her aircraft carriers and Admiral Isoruku Yamamoto was forced to order a withdrawal.

WW2 Timeline [Eng]

World War Two timeline

1939 Timeline
Sep 1 Germany invades Poland, world war 2 begins.
Sep 3 Britain and France declare war on Germany.
Sep 8 The US remains neutral but president Roosevelt declares 'limited national emergency'.
Sep 17 Russia invades Poland
Sep 27 Warsaw surrenders
Oct 6 The last remaining polish forces surrender
Nov 30 Russia invades Finland

1940 Timeline
Jan 17 The first German Enigma messages are decoded by British intelligence
Mar 12 Russia-Finland war ends. It convinces Hitler that the Russian military is ineffective.
Apr 8 Germany invades Denmark and Norway.
Apr 14 British forces land in Narvik, Norway, but leave in 10 days
May 10 Germany invades France, Holland, Belgium, Luxemburg. Winston Churchill becomes Britain's prime minister.
May 20 German forces reach the English channel.
May 27 Evacuation of British and French forces to Britain at Dunkirk begins.
Jun 4 The evacuation at Dunkirk ends. 338,000 troops were rescued. Churchill declares that Britain will never surrender.
Jun 9 Norway surrenders
Jun 10 Italy declares war on the collapsing France and on Britain.
Jun 14 German troops march into Paris
Jun 18 Russia invades Lithuania, Latvia, and Estonia.
Jun 22 France surrenders
Jun 27 Russia annexes the eastern regions of Romania.
Jul 1 Germany invades the British Channel Islands.
Jul 10 The 'Battle of Britain' air campaign begins.
Jul 18 Churchill declares this is Britain's finest hour.
Aug 8 The Luftwaffe begins to bomb British early warning radars
Aug 15 The Luftwaffe loses 76 aircraft in one day
Aug 25 British night bombers bomb Berlin
Sep 3 Hitler changes the Luftwaffe's objective from destroying the Royal Air Force to bombing London. This allows the R.A.F to recover and win the battle of Britain.
Sep 13 Italy invades British-held Egypt from Libya, the north African campaign begins.
Sep 15 The largest Luftwaffe daytime bombardment, it loses 56 aircraft
Sep 27 Japan joins the 'axis'
Oct 7 German troops enter their Ally Romania, Germany's only source of oil which is threatened by Russia
Oct 12 Hitler cancels the invasion of Britain.
Oct 23 Spain rejects Hitler's offer to join the war and remains neutral.
Oct 28 Italy invades Greece from Albania, but stopped, twice.
Nov 11 British carrier aircraft sink Italian fleet in Taranto's harbour. Yamamoto in Japan is impressed by their success.
Nov 20 Hungary and Romania, both military dictatorships, join the axis.
Dec 9 British forces in Egypt counter attack the Italians and advance along the Libyan coast

1941 Timeline
Feb 12 Hitler sends Rommel and the 'Afrika Korps' to help the Italians in north Africa
Mar 1 Bulgaria joins the axis. The axis-Russian border now stretch from the Baltic sea to the black sea.
Mar 3 Rommel attacks the British forces in north Africa.
Mar 5 British troops arrive at Greece to support it.
Apr 6 Germany invades Yugoslavia and Greece
Apr 13 After military clashes, Japan and Russia sign non-aggression pact.
Apr 17 Yugoslavia surrenders. British forces evacuate Greek mainland to Crete
Apr 27 German troops occupy Athens
May 9 U-boat U-110 is captured with Enigma settings tables
May 20 German paratroopers and airborne troops invade Crete by air
May 31 British forces in Crete surrender.
Jun 8 British forces aided by Israeli volunteers invade French controlled Syria and Lebanon
Jun 22 Germany invades Russia. Hitler orders "maximum cruelty" against civilians, which results in fanatic Russian resistance.
Jul 3 Stalin orders the 'scorched earth' strategy.
Jul 16 German army group 'centre' takes Smolensk, just 220 miles from Moscow.
Jul 21 The Luftwaffe bombs Moscow
Jul 24 Japan invades French Indo-China (Vietnam, Laos, Cambodia)
Jul 29 Hitler, eager to occupy the rich Ukraine first, orders to stop army group centre's advance to Moscow and to transfer its two tank armies to army groups 'north' and 'south'. This is perhaps Hitler's greatest mistake. The German generals argue in vain against it.
Jul 31 Hermann Goering orders the S.S. to prepare "the final solution", the plan to murder the millions of European jews.
Sep 6 Hitler orders to restore the advance to Moscow, in order to take it "in the limited time before winter". Army group 'centre', is given back its two tank armies, plus a third tank army and additional air units.
Sep 15 The long German siege of Leningrad begins.
Sep 18 The Germans in the south occupy Kiev and reach the Crimea.
Oct 2 The final German attack towards Moscow begins (operation Typhoon).
Oct 15 Rains stop German advance to Moscow due to deep mud which stops both tanks and infantry.
Oct 16 Russian government leaves Moscow, the Germans occupy Odessa.
Oct 17 General Tojo becomes Japan's prime minister
Oct 21 Churchill orders top priority to any request by the Enigma decoders.
Oct 26 The Germans occupy Kharkov
Nov 15 With the mud frozen by the dropping temperatures, German advance to Moscow resumes.
Nov 30 The foremost German forces reach 27km from Moscow, but can advance no further due to strong Russian resistance.
Dec 6 At temperatures of -34C (-29F) and below, a major Russian counter attack near Moscow begins. Moscow is saved, and the Germans are pushed back.
Dec 7 The Japanese navy attacks Pearl Harbour and the Phillipines, and the US joins the war.
With the German failure to defeat Russia, which is marked by their failure to take Moscow, and with the United States joining the war a day later, This date marks the main turning point of world war 2
Dec 11 Germany and Italy declare war on the US.
Dec 19 Hitler orders "fanatic resistance" and appoints himself military commander-in-chief.

1942 Timeline
Jan 2 Japanese forces occupy Manila
Jan 10 Japanese forces invades Indonesia
Jan 11 Japanese forces occupy Malaysia
Jan 12 Japanese forces invade Burma
Jan 13 German U-boats begin to sink ships along the US east coast.
Jan 21 Rommel begins another offensive in north Africa
Jan 25 Japanese forces invade the Solomon islands
Jan 26 US troops begin to arrive in Britain
Feb 15 Singapore surrenders to the Japanese
Mar 20 'industrial-scale' murder of Jews by poison gas begins in Nazi death camps.
Apr 18 Doolittle's raid - US bombers bomb Tokyo.
May 7 Battle of the Coral Sea. One Japanese carrier and one American carrier are sunk
May 6 The last American troops in the Philippines surrender
May 8 The German spring offensive in southern Russia begins.
Jun 4 The battle of Midway. Four Japanese carriers are sunk, and one American carrier. Japan's naval superiority is lost.
Jul 3 Japanese forces land in Guadalcanal
Jul 28 Stalin forbids further Russian retreats, at any cost.
Aug 7 US forces land in Guadalcanal
Aug 13 Montgomery becomes commander of the British 8th army in north Africa
Aug 19 Allied landing in Dieppe fails.
Aug 23 The German 6th army reach Stalingrad, the battle of Stalingrad begins.
Sep 6 The German advance in Stalingrad is stopped.
Sep 23 The battle of El Alamein in north Africa begins.
Nov 8 Allied forces land in western north Africa, at Rommel's back
Nov 19 The Russian flanking counter attack around Stalingrad begins
Dec 19 The Germans fail to break the encirclement of their army in Stalingrad

1943 Timeline
Feb 2 The last German forces in Stalingrad surrender
May 13 The long north Africa campaign ends. The allies control north Africa
May 22 41 German u-boats sunk in 3 weeks. Doenitz retreats all u-boats from the North Atlantic
Jul 5 The battle of Kursk begins
Jul 10 The allies invade Sicily
Jul 25 Mussolini is replaced and arrested.
Aug 10 The Germans know the the Enigma was decoded, but believe the new models and procedures are safe again.
Sep 3 The allies invade Italy's mainland
Sep 8 Italy surrenders. The German forces in northern and central Italy occupy it
Sep 25 The Russians liberate Smolensk
Oct Allied anti submarine bases established in the Azores, in the middle of the Atlantic ocean
Nov 6 The Russians liberate Kiev
Nov 19 The marines land in Tarawa
Nov Rommel takes command of the 'Atlantic wall' in the French coast
Dec P-51 fighters provide all-the-way long range escort to bombers over Germany

1944 Timeline
Jan 16 Eisenhower becomes supreme commander of western allies forces
Jan 22 Allies land in Anzio, Italy
Mar The Russians advance into the Ukraine
Apr 10 The Russians liberate Odessa
May Allied bombers begin to concentrate on the German fuel industry
Jun 5 The German navy's Enigma messages are decoded almost in real time.
Jun 6 D-Day. American, British, Canadian forces invade France at the beaches of Normandy
Jun 12 1st German V-1 cruise missile attack on Britain
Jun 15 The marines land in Saipan
Jun 19 Battle of the Philippine sea
Jun 22 The Russians advance to Belarus
Jun 27 Cherbourg is liberated
Jul 20 Hitler survives an assassination attempt by senior German officers with light wounds.
Jul 21 Hitler appoints General Guderian to chief of the army (OKH). The marines land in Guam
Jul 24 The marines land in Tinian
Jul 28 The Russians reach the old German-Russian border in central Poland
Jul 30 Patton breaks out of the beachhead deep into France
Aug 1 Warsaw revolts against the Germans
Aug 15 The allies land in southern France
Aug 23 Romania surrenders to the Russians. Its oil fields were Germany's only source of natural oil
Aug 25 Paris is liberated.
Aug Allied fighters achieve air superiority over Germany
Sep 6 Finland and Bulgaria surrenders to the Russians
Sep 8 1st German V-2 ballistic missile attack on Britain
Sep 17 Operation 'Market Garden' in Holland
Oct 5 British forces land in Greece
Oct 10 The Germans evacuate Riga, Latvia
Oct 14 Athens is liberated
Oct 20 The marines land in Leyte
Nov 14 B-29 bombers begin to bomb Tokyo from bases in the Mariana islands
Dec 16 The German attack in the Ardennes begin (Battle of the Bulge)

1945 Timeline
Jan 9 The marines land in Luzon, Philippines
Jan 23 The Russians reach Germany itself at the Oder river
Jan 27 The Russians liberate the Auschwitz death camp
Jan 28 The Ardennes campaign ends
Feb 13 The Russians occupy Budapest, Hungary. Dresden bombed.
Feb 19 The marines land in Iwo Jima
Mar 4 Manila is liberated
Mar 6 The allies occupy Cologne, Germany

Mar 7 US forces cross the Rhine on the Remagen bridge
Mar 16 The battle of Iwo Jima ends
Mar 27 V-2 missile attacks end
Apr 1 German forces encircled in the Ruhr by the Americans
Apr 6 The marines land in Okinawa. Japan orders all its forces to use kamikaze suicide tactic
Apr 7 The super battleship Yamato is sunk on its way to a kamikaze fight in Okinawa
Apr 10 The allies occupy Hanover
Apr 11 The allies liberate the Buchenwald death camp
Apr 12 President Roosevelt dies.
Apr 13 The Russians enter Vienna
Apr 16 The Russians begin final advance to Berlin
Apr 25 American and Russian forces meet
Apr 26 German defence in northern Italy finally collapses
Apr 29 Mussolini is executed by the Italian resistance. The allies liberate the Dachau death camp
Apr 30 Adolph Hitler commits suicide in his bunker in Berlin. He appoints Admiral Doenitz as his successor.
May 8 Germany surrenders. The war in Europe ends
May 28 450 B-29 bombers bomb Yokohama
Jun 2 660 B-29 bombers bomb Japanese cities
Jun 21 Battle of Okinawa ends
Jul 16 the US tests the atomic bomb in New Mexico. It works
Aug 6 Hiroshima is destroyed by an atomic bomb
Aug 8 Russia declares war on Japan
Aug 9 Nagasaki is destroyed by an atomic bomb
Aug 14 Japan surrenders. World war 2 finally ends.

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Battle of Midway (5)

นายพลเรือยามาโมโต้ที่อยู่บนหมู่เกาะทรัคก็ได้ทราบข่าว ก็คิดว่าเหตุการณ์ยังมีหวังอยู่ แม้จะสูญเสีย เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ไปถึง 4 ลำ เขาสั่งให้ กองเรือเคลื่อนที่เร็วที่ 2 ภายใต้การบัญชาของ นายพลเรือคอนโดไปพบกับ กองกำลังหลัก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ มิดเวย์ แต่ปัญหาด้านการสื่อสารทำให้ มีเพียงเรือประจัญบาน 2 ลำ ของ คอนโด เท่านั้นที่เข้ามาสมทบกับกำลังหลักเ

ช้าตรู่วันที่ 5 มิถุนายน ยามาโมโต้สั่งถอนการยกพลขึ้นบก และสั่งให้กำลังทางเหนือระวังการโจมตี หมู่เกาะอาลิวเชียน เมื่อสังเกตุเห็นว่าญุ่ปุ่นเริ่มถอย สหรัฐรุกไล่ทันที แต่ ด้วยรายงานการพบเห็นที่ไม่แน่ชัด ทำให้ไม่สามารถทำลายกองเรือญุ่ป่นได้ ผู้บัญชาการของสหรัฐ รู้สึกเสียดายมาก ยุทธนาวีที่มิดเวย์ มีความสำคัญมาก แม้ว่าจะไม่แพ้สงคราม แต่ญุ่ปุ่นก็ทำให้กองเรือญี่ปุ่นเสียหายอย่างรุนแรง และมีข่าวลือกันว่า สหรัฐจะบุกดินแดนญี่ปุ่น การสูญเสียเรือบรรทุกเครื่องบินก็เสียหายมากพออยู่แล้ว โดยเสียเครื่องบินประมาณ 260 เครื่อง และลูกเรือร้อยละ 45

ฝ่ายสหรัฐประสบชัยชนะในด้านยุทธศาสตร์ แม้จะเสียเรือ เล็กซิงตัน ไปในการรบที่ทะเลคอรัล และ เรือยอร์คทาวน์ ที่มิดเวย์ นับว่าสูญเสียอยู่มาก แต่เรือชั้น เอสเสค กำลังจะเสร็จอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวลเท่าไหร่ หลังจากยุทธนาวีที่ มิดเวย์

Battle of Midway (4)

ต่อมา นายพลเรือสปรูเอ๊นท์ ส่งเรือลาดตระเวน 2 ลำ และ เรือพิฆาต 2 ลำมา ช่วยยิงปืน ปตอ. คุ้มกันเรือบรรทุกเครื่องบิน พอถึงเวลา 13.20 น . หม้อน้ำ 3 ลูกก็ทำงานได้ เรือแล่นได้ 20 นอต ไฟยังคงไหม้อยู่ แต่สามารถควบคุมได้ ต้องส่ง เครื่องบินลาดตระเวนรบ ไปลงที่เรือลำอื่น ๆ และกำลังติดอาวุธให้กับ เครื่องบินโจมตี ที่เหลืออยู่
ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมาเรือลาดตระเวนก็ตรวจจับการโจมตีอีกระลอก จาก ฮีร์ยู้ ได้ ประกอบด้วยเครื่องบิน ปลอยตอร์ปิโด 10 เครื่อง และ ซีโร่คุ้มกันอีก 6 เครื่องมุ่งหน้าไปทาง ยอร์คทาวน์ และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่การเติมเชื้อเพลิงต้องหยุดลง แต่ก็มีเวลาพอที่จะส่ง เครื่องบินขับไล่ 8 เครื่องบิน ขึ้นไปสกัดกั้นได้

แต่คราวนี้เครื่องบินขับไล่สกัดกั้นการโมตีไม่ได้ผลเท่าที่ควร คาเต 2 เครื่อง ถูกยิงตกก่อนถึงเป้าหมาย เครื่องบินขับไล่สหรัฐ พยายามสกัดกั้น แต่ คาเต ก็ผ่านการระดมยิงอย่างหนาแน่น ปตอ. หยุดการ ปล่อยตอร์ปิโด ได้ 4 ลูก แต่ที่เหลือสามารถ ปล่อยตอร์ได้ เรือยอร์คทาวน์ ก็พยายามหลบหลีกแต่ก็หลบไม่หมดตอร์ปิโด 2 ลูก วิ่งชน ยอร์คทาวน์ ทางกราบซ้าย แต่กระนั้น ก็มี คาเต เพียง 5 เครื่อง เท่านั้น ที่กลับไปยัง ฮีร์ยู้ ได้เพื่อรายงานว่าสามารถจม เรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ แต่ผู้บัญชาการของญี่ปุ่นก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เรือที่เสียหายหนักในตอนเช้า จะสามารถปฏิบัติการได้อีกในตอนบ่าย หลังการโจมตีจึงสรุปว่า ได้ทำลายเรือบรรทุกเครื่องบิน ไปหมดแล้วทั้ง 2 ลำ และ โดยเหตุบังเอิญที่เรือของกองเรือที่ 16 และ 17 เป็นเรือชั้นเดียวกัน จึงมีรูปร่างเหมือน ๆ กัน ยอร์คทาวน์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ยังลอยลำอยู่ได้ แต่เครื่องยนต์หมดกำลัง จึงได้แต่ลอยอยู่นิ่ง ๆ ได้ส่งเครื่องบินทั้งหมด ไปที่เรือลำอื่นๆ แล้ว และกำลังสูบน้ำออกจากเรือ พอถึงเวลา 15.00 น. เรือเอียง 26 องศาทางกรายซ้ายจึงมีคำสั่งให้สละเรือ

และในขณะที่การโจมตี ยอร์คทาวน์ ดำเนินอยู่นั้น เครื่องบินดอนเลสส์ ที่ถูกส่งขึ้นไปก่อนหน้านั้น ได้รายงานว่าพบตำแหน่งของ ฮีร์ยู้ แล้ว ผู้บัญชาการของสหรัฐจึงได้ ส่งเครื่องบินอกไปโจมตี มี ดิวาสเตเตอร์ 4 เครื่อง ดอนเลสส์ 24 เครื่องจากเอ็นเตอร์ไพรส์ ดอนเลสส์ 22 เครื่อง จาก ฮอร์เนต พร้อมกับ เครื่องบินขับไล่อีก 50 เครื่อง ฮีร์ยู้ กำลังเตรียมตัวโจมตีเป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปเพื่อให้นักบินที่เหน็ดเหนื่อย ได้มีเวลากินอาหารเย็น แต่ยังไม่ทันได้กินกันเสร็จ เครื่องบินดำทิ้งระเบิดได้บินมาจากทางแสงอาทิตย์เพื่อโจมตี ส่วนเครื่องบินลำอื่น ๆ โจมตีเรือคุ้มกัน 3 ลูกแรกถูกทิ้งลงมาแต่พลาดเป้าหมายไป และ อีก 4 ลุกถูกทิ้งลงมาอีก 2 ลูกแรก จากจำนวน 4 ลูก ตกลงบนเรือบริเวณหอบังคับการณ์ และอีก 2 ลุกที่กลางลำเรือ มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวในห้องเก็บเครื่องบิน ลูกระเบิดในคลังนั้นระเบิดออกดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ทั้ง ๆ ที่ถูกระเบิด ฮีร์ยู้ ก็แล่นต่อไปได้ด้วยความเร็ว 24 นอต ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งการลุกไหม้ได้เพราะเครื่องมือดับเพลิงเสียหายหมด ไม่ช้าไฟก็ไหม้ท่วมทั้งลำ ไฟไหม้อยู่ตลอดคืน และ มีคำสั่งสละเรือเมื่อ 02.00 น. และจมลงเมื่อ 09.01 น. ของเช้าอีกวัน

Battle of Midway (3)

เรือบรรทุกเครื่องบินกางะ เสียหายหนักที่สุด ตอนที่ลูกระเบิดลูกที่ 3 ตกลงมาตรงหน้าหอบังคับการ ทำให้ทหารที่อยู่บนสะพานเดินเรือเสียชีวิตเกือบทั้งหมด รวมทั้งตัวกัปตันด้วย นายทหารยุทธการทางอากาศเป็นคนเดียวที่เหลือรอด ทำหน้าที่ควบคุมการดับไฟแทน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ม าก จนต้องสละเรือ และอีก 3 ชั่วโมงต่อมา กางะ ก็จมลงไปอยู่ที่ก้นทะเล ส่วนเรือ ซอร์ยู้ โดนระเบิดไป 3 ลุก ไฟไหม้ทั้งแต่หัวเรือ ไป จรดท้ายเรือ บังคับหางเสือไม่ได้ ไฟไหม้อยู่นาน 8 ชั่วโมง กว่าจะจมลง เสียลุกเรือไป 700 กว่าคน เรือธง อกางิเสียหายและถูกระเบิดหลายแห่ง สามารถลอยลำอยู่ได้นาน พอที่จะย้าย นายพลเรือนากูโม ไปลงที่ เรือลาดตระเวนเบา

เมื่อเวลา 11.30น. ก็สละเรือ นอกจากพวกที่พยายามดับไฟที่เหลืออยู่ จนกระทั้งเวลา 19.35 น. พวกที่พยายามดับไฟไฟบน เรืออกางิ ก็หมดหนทางจะดับไฟได้ และ ได้สละเรือ แม้เรือบรรทุกเครื่องบิน ทั้ง 3 ลำของญี่ปุ่นจะเสียหายและอัปปาง แต่นากูโม ก็ยังเหลือ ฮีร์ยู้ อีก 1 ลำ จึงได้ส่งเครื่องบินขึ้นไป โจมตีตอบโต้ในทันที โดยที่รู้ดีว่า สหรัฐเหลือเครื่องบินเพียง 17 เครื่อง ส่วน เครื่องบินดิวาสเตเตอร์ และ ดอนเลสส์ รวม 60 เครื่องที่ไปโจมตีในระลอกแรกนั้นต้องใช้เวลาเติมเชื้อเพลิง และ ติดอาวุธนานร่วม 4 ชั่วโมง ยอร์คทาว เป็นเรือลำเดียวที่มี เครื่องบินค้นหา เหลืออยู่ จึงได้ส่ง ดอเลสส์ขึ้นไป 10 เครื่อง

เมื่อเวลา 11.30 น. ต่อมาเรดาห์ประจำเรือตรวจจับได้ถึงการที่ ฮีร์ยู้ส่งเครื่องบินมาโจมตี จึงส่ง เครื่องบินไวลต์แคต ออกสกัดกั้นห่างออกไป 15 -20 ไมล์ ส่วนบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ระมัดระวังจนนาทีสุดท้าย หยุดการเติมเชื่อเพลิง เพื่อป้องกันการเกิดแก๊สรั่วไหลจนไฟไหม้ได้ การสู้รบกันอย่างดุเดือดเกิดขึ้นเหนือ เรือยอร์คทาวน์ เครื่องบินทิ้งระเบิดญี่ปุ่นหลบฉากจากการการปะทะ แล้วพุ่งเข้ามาหา ยอร์คทาวน์ จำนวน 10เครื่อง แต่ 6 เครื่อง ถูกปืนต่อสู้อากาศยาน ยิงตก อีก 4 เครื่องสามารถปลดลุกระเบิดได้ ระเบิด 3 ลูกตกใส่เรือยอร์คทาวน์ ลูกแรกตกลงบนดาดฟ้าลานบิน ลูกที่ 2 ตกลงที่ปล่องไฟ ไฟไหม้ทำให้หม้อน้ำ 6 ลูกระเบิดออก ส่วนลูกที่ ทะลุลงไป 3 ชั้นก่อนระเบิดออก ก๊าสรั่วออกมาทำให้ไฟไหม้ แต่โชคดีเปิดน้ำท่วมห้องเก็บกระสุนได้ทัน เปิดก๊าซคาร์บอนกลบถังเชื้อเพลิง แต่เรือเสียกำลังเครื่องยนต์ไปทั้งหมด

พอเวลา 12.20 น . เรือก็หยุดทำงาน ลอยลำอยู่กลางทะเล

ข้อมูลใน blogs อ้างอิงจาก

- http://www.thaigaming.com/thai-navy-field/11342.htm
- http://ww2db.com/
- http://www.combinedfleet.com/
- http://www.acepilots.com/ships/main.html

Battle of Midway (2)

จากการโจมตีของเครื่องบินสหรัฐ ทำให้ นายพลนากูโมเกิดความกดดันอย่างหนัก

เวลา 07.17 น. เครื่องบินดำทิ้งระเบิด 4 เครื่อง เครื่องปล่อยตอร์ปิโด 6 เครื่องโจมตีเรือ อกางิ และ เรือฮีร์ยู้ แต่ เครื่องบิน Zero ของญี่ปุ่นก็คอยสกัดกั้นหนัง ทำให้สหรัฐสียเครื่องบินไป 7 เครื่องโดยที่โจมตีไม่ถูกเป้าหมายเลย นากูโมตระหนักแล้วว่าไม่สามารถ สยบการโจมตีจากเครื่องบินจาก ฐานบินบนเกาะมิดเวย์ได้ จึงสั่งให้เครื่องบินที่ไปโจมตีมิดเวย์ในระลอกแรกกลับมาติดระเบิด แล้วไปโจมตีซ้ำอีกเพื่อลดความกดดัน ส่วนเครื่องบินสำรองนั้นได้สั่งให้ปลดตอร์ปิโดออกแล้้วติดลูกระเบิดแทน

เมื่อเวลา07.28 น.ได้มีรายงานจากเครื่องบินตรวจการทะเลว่าได้พบเห็นกองเรือเฉพาะกิจที่ 16 ของอเมริกัน แต่รายงานนั้นเลื่อนลอย นากูโมได้สั่งให้รายงานใหม่ แล้วสั่งระงับเครื่องบิน B5N ที่เหลือเอาไว้ก่อน

และระหว่างนั้น การโจทตีจากเกาะมิดเวย์ ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

โดยครั้งแรก เมื่อเวลา07.55 น.โจมตีเรือ ฮีร์ยู้ และ ซอร์ยู้ ครั้งที่ 2 เมื่อเวลา 08.10 น. และคร้งที่ 3 เมื่อเวลา 08.30 น.แต่ก็ไม่ได้ผล ในเวลาครั้งที่3 ตรงกับเวลาที่เครื่องบินจากยอร์คทาวน์กลับลงมาบนเรือ หลังจากที่ ส่งออกไปโจมตีในครั้งแรก แครื่องบินหลายลำหา เรือบรรทุกเครื่องบินไม่เจอ หรือไม่ก็เชื้อเพลิงหมด จำต้องร่อนลงในทะเลหรือไม่ก็ตก รวมแล้วทั้งหมดที่สูญเสียมีประมาณ 36 เครื่อง หรือ ร้อยละ 33 ของกำลังโจมตีทั้งหมด และเครื่องบินชุดสุดท้ายก็ไม่สามารถลงบนเรือได้เพราะ สาเหตุเดียวกันกับชุดแรก จนกระทั่ง

เวลา 09.17 น. นากูโม ได้รับรายงานว่าพบเห็นกองเรือ และ อาจจะมีเรือบรรทุกเครื่องบินอยุ่ในกองเรือนั้นด้วย นากูโมจึงได้รู้ตำแหน่งของกองเรือที่ 16 จึงหันเรือบรรทุกเครื่องบินไปที่ 90 องศาเหนือ และการมาถึงระลอกแรก ของเครื่องจากกองเรือสหรัฐ เพื่อโจมตีญี่ปุ่นก็ได้เริ่มขึ้น เครื่องบิน ดิวาสเตเตอร์ จาก เรือฮอร์เนต15 เครื่อง ถูกเครื่องบินลาดตระเวนรบ และ ปืน ปตอ. ยิงตก ส่วนกองกำลังโจมตีจาก เรือเอนเตอร์ไพรส์ ประกอบด้วยดิวาสเตเตอร์ 14 เครื่อง เข้าโจมตีแต่ก็ไม่ได้ผลกลับถูกยิงตกไป 10 เครื่อง ส่วนเครื่องบินจากยอร์คทาวน์ ประกอบด้วยเครื่องบินดำทิ้งระเบิด 35 เครื่อง เครื่องขับไล่คุ้มกัน 10 เครื่องนั้นไม่พบกองเรือญี่ปุ่น ทำให้เชื้อเพลิงหมด เครื่องบินขับทั้ง 10 ลำ ต้องร่อนลงจอดในน้ำ มีเครื่องบินทิ้งระเบิดเพียง 11 เครื่องเท่านั้น ที่กลับมาถึงยัง เกาะมิดเวย์ ส่วน เครื่องบินดอนเลสส์ 59 เครื่องที่ขึ้นจากมิดเวย์นั้นบินเลยที่ตั้งกองเรือญี่ปุ่น จนต้องบินกลับมาลงที่ เอนเตอร์ไพรส์ แต่ระหว่างทางก็พบกองเรือของญี่ปุ่น ผู้บังคับการฝูงบิน ตีความหมายของการเคลื่อนไหวของมันได้ โดยจัดเครื่องบินเป็น 3 ฝูง และ พบเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่ติดตามกองเรือมา โดยจัดขบวนเป็นรูปเพชร มี ฮีร์ยู้ นำขบวน ฝูงที่ 1 ครื่องบินดำ 12 เครื่องดำดิ่งลงโจมตี เรือกางะ ฝูงที่ 2 บินตรงไปที่เรือธง อกางิ และฝูงที่ 3 โจมตี ฮีร์ยู้ และซอร์ยู้

4 นาทีต่อมา การรวมกำลังโจมตีประสบ ความสำเร็จอย่างงดงาม เรืออกางิ ถูกลูกระเบิด 2 ลูก ลุกแรกถูกระเบิดขนาด 1000 ปอนด์ทะลุลงมาถุกข้างลิฟท์ กลางแล้วระเบิดในโรงเก็บของ และลุกที่2 ขนาด 500 ปอนด์ ระเบิดบนดาดฟ้าตอนท้ายของเรือทำให้ไฟไหม้ ส่วนที่ เรือกางะ ถุกลูกระเบิดขนาด 1000 ปอนด์ 4 ลูก 3 ลุก ทะลุดาดฟ้าเรือลงไป อีก 1 ลุกระเบิดบนดาดฟ้า ทำให้เครื่องบินที่จอดอยู่เสียหายหลายลำ เครื่องบินดำทิ้งระเบิดรอดกลับไปได้เกือบทั้งหมดมีเพียง 18 เครื่องจาก เอ๊นเตอร์ไพรส์ ที่ถูกยิงตกกลางทางหรือไม่ก็เชื้อเพลิงหมดต้องร่อนลงในทะเล

Battle of Midway (1)

กองเรือฝ่ายญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นรวบรวมเรือบรรทุกเครื่องบิน
อกางิ กางะ ฮีร์ยู้ และ ซอร์ยู้ เป็นกองเรือโจมตีหลัก โดยมี เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็ก โฮโซ แล่นตามกองเรือหลัก ส่วนเรือ ริยูโจ และ จุนโย อยู่กับกองกำลังโจมตี เกาะอาลิวเชี่ยน โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน ซุยโฮ เป็นกำลังสนับสนุน

กองเรือฝ่ายสหรัฐ

กองเรือเฉพาะกิจที่ 16 และ 17














การได้รับการเตือนล่วงหน้าทำให้ กองเรือเฉ
พาะกิจที่ 16 และ 17 สามารถจัดตำแหน่งป้องกัน มิดเวย์ ได้ทัน โดยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมิดเวย์ไป 400 ไมล์ ทำให้ พลเรือเอกนิมิตซ์ ไม่ต้องสนใจกับการหันเหของญี่ปุ่นที่โจมตี เกาะอาลิวเชี่ยน

ในวันที่ 3 มิถุนายน เครื่องบินดานาลิน่า เห็นกองกำลังยกพลขึ้นบก ภายใต้การบัญชาการของ นายพลเรือคอนโด อยู่ห่างจากมิดเวย์ไป 800 ไมล์ ทางตะวันตก จากนั้นในตอนบ่าย หลังจากการโจมตีทางอากาศระลอกแล้วระลอกเล่า จากฐานบนพื้นดินของมิดเวย์ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล พอตกตอนกลางคืนกองเรือบรรทุกเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามก็ แล่นเข้าไปใกล้มิดเวย์ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน พอรุ่งอรุณวันที่ 4 มิถุนายน ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกัน 248 ไมล์

สหรัฐรู้ว่า ญี่ปุ่นกำลังตามหาเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ แต่ญี่ปุ่นไม่แน่ใจว่ามี เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอยู่บริเวณนั้นรึเปล่า นายพลเรือนากูโม ส่งเครื่องบิน 108 เครื่องขึ้น เพื่อการโจมตีจากมิดเวย์เป็นครั้งแรก แต่เขาเก็บเครื่องบินประจำเรือ กางะ เอารับมือกับสหรัฐ ในขณะที่ นายพลเรือเพลตเชอร์ ก็ระมัดระวังเช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น โดยส่ง เครื่องบินดอนเลสส์ 10 เครื่องขึ้นจากเรือ ยอร์คทาวน์ เพื่อทำการค้นหา กองเรือญี่ปุ่น ทางตอนเหนือ

และเมื่อเวลา 06.02 น. นายพลเรือเฟลตเชอร์ ได้รับข่าวจาก เครื่องบิน ดาตาลิน่า ว่าพบเห็นกองเรือญี่ปุ่นอยู่ห่างจาก มิดเวย์ ไป 207 ไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และอีก 5 นาทีต่อมา เขาได้ออกคำสั่งให้ นายพลเรือสปูทเอ๊นท์ ส่งเครื่องบินจาก ฮอร์เนต และ เอนเตอร์ไพรส์ ออกไปโจมตี โดยที่เขาเองก็ส่งเครื่องออกจากเรือ ยอร์คทาวน์ ไปโจมตี แต่จะต้องนำ ดอนเลสส์ ลงมาเติมเชื้อเพลิงเสียก่อน เสนาธิการของสปูทเอ๊นท์ ตัดสินใจ ไม่ส่งเครื่องบินตรวจการณ์ออกไป เพื่อยืนยันการพบเห็นของ เครื่องบินดอนเลสส์ แต่ได้ลงมือ ส่งเครื่องบินออกไปโจมตีญี่ป่นทันทีหลังจากที่เครื่องบินจากฐานบนพื้นดินของมิดเวย์ได้ขอลงจอด เพื่อเติมเชื้อเพลิง เป็นปฏิบัติการที่เร่งรีบมากอยู่แล้ว นายพลนากูโม เก็บเครื่องบินไว้กว่า 90 เครื่อง แต่เขาไม่ทราบว่าเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกันทั้ง 2 ลำ อยู่ใกล้มาก

France BattleShips Richelieu Class

Richelieu (BB) 15 Jul 1940

France Navy Battleship of World War Two
Displacement 43293 tons
Length 813 feet
Beam 108 feet
Draft 31 feet
Speed 30 knots

France BattleShips Dunkerque Class

Dunkerque (BB) 1 May 1937
Strasbourg (BB) 1 Jan 1939

France Navy Battleship of World War Two
Displacement 26500 tons
Length 706 feet
Beam 102 feet
Draft 28 feet
Speed 31 knots
Aircraft 4 floatplanes

France BattleShips Bretagne Class

Provence (BB) 1 Jun 1915
Bretagne (BB) 1 Sep 1915

France Navy Battleship of World War Two
Displacement 26180 tons
Length 544 feet
Beam 88 feet
Draft 32 feet
Speed 21 knots

UK Aircarft Carriers Ark Royal Class

Ark Royal (CV) 16 Dec 1938

UK Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 28143 tons
Length 800 feet
Beam 95 feet
Draft 28 feet
Speed 31 knots
Aircraft 60 to 72

UK Aircarft Carriers Illustrious Class

HMS Illustrious (CV-7) 25 May 1940
HMS Formidable (CV-8) 24 Nov 1940
HMS Victorious (CV-9) 14 May 1941
HMS Indomitable (CV-10) 10 Oct 1941

UK Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 30530 tons
Length 781 feet
Beam 103 feet
Draft 31 feet
Speed 30 knots
Aircraft 40 in 1944

UK Aircarft Carriers Furious Class

HMS Furious (CV-3) 26 Jun 1917

UK Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 22450 tons
Length 786 feet
Beam 88 feet
Draft 25 feet
Speed 31 knots
Aircraft 22-40

UK Battleships Queen Elizabeth Class

HMS Valiant (BB-9) 19 February 1916
HMS Queen Elizabeth (BB-10) 1 Feb 1915
HMS Warspite (BB-8) 8 March 1915
HMS Barham (BB-7) 19 Oct 1915
HMS Malaya (BB-6) 1 Feb 1916

United Kingdom Royal Navy Battleship of World War Two
Displacement 29700 tons
Length 646 feet
Beam 90 feet
Draft 33 feet
Speed 24 knots

UK Battleships Nelson Class

HMS Nelson (BB-11) 15 Aug 1927
HMS Rodney (BB-12) - 1927

United Kingdom Royal Navy Battleship of World War Two

UK Battleships Reserve Class

HMS Royal Sovereign (BB-1) 18 April 1916
HMS Reserve (BB-3) - 1916
HMS Resolution (BB-4) 30 December 1916
HMS Ramillies (BB-5) 1 September 1917
HMS Royal Ork (BB-2) 1 May 1916

United Kingdom Royal Navy Battleship of World War Two
Displacement: 27,500 tons
Length: 624 ft (190 m)
Beam: 88 ft (27 m)
Draught: 28 ft (8.5 m)
Speed: 23 knots (43 km/h)

UK Battleships King George V Class

HMS King George V (BB-13) 11 December 1940
HMS Prince of Wales (BB-14) 19 January 1941
HMS Duke of York (BB-15) 4 November 1941
HMS Anson (BB-16) 22 June 1942
HMS Howe (BB-17) 29 August 1942

United Kingdom Royal Navy Battleship of World War Two
Displacement: 42,200 tons
Length: 745 ft (227 m)
Beam: 103 ft (31 m)
Draught: 32.6 ft (9.9 m)
Speed: 28.0 knots
Aircraft carried: 4

IJN Aircarft Carriers Unryu Class

Unryu 6 August 1944
Amagi 10 August 1944
Katsuragi 15 October 1944

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement: 22400 tons
Length: 223.0 wl
Breadth: 22.0 wl
Speed: 34 knots
aircraft: 65

IJN Aircarft Carriers Shinano Class

Shinano 19 November 1944

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 68059 tons
Length 872 feet
Beam 119 feet
Draft 32 feet
Speed 27 knots
Aircraft 50-120

IJN Aircarft Carriers Taiho Class

Taiho 7 Mar 1944

Imperial Carrier of World War Two Japanese Navy Aircraft
Displacement 29770 tons
Length 855 feet
Beam 90 feet
Draft 31 feet
Speed 33 knots
Aircraft 84

IJN Aircarft Carriers Ryuho Class

Ryuho (CV-13) 31 Mar 1934

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 16700 tons full
Speed 26 knots
Aircraft 31

IJN Aircarft Carriers Hiyo Class

Hiyo (CV-11) 31 Jul 1942
Junyo (CV-12) 05 May 1942

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement 26,949 tons
Length 719 feet
Beam 87 feet
Draft 27 feet
Speed 25 knots
Aircraft 53

IJN Aircarft Carriers Zuiho Class

Zuiho (CV-9) 27 December 1940
Shoho (CV-10) 15 January 1939

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement: 14,200 long tons
Length: 201.45 metres
Beam: 18.2 m (60 ft)
Speed: 28 kn (52 km/h; 32 mph)
Aircraft carried: 30

IJN Aircarft Carriers Soryu Class

Soryu (CV-5) 29 December 1937
Hiryu (CV-6) 5 July 1939

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement: 19,500 tons
Length: 222 m (728 ft 5 in)
Beam: 21 m (70 ft)
Draught: 7.44 m (24 ft 5 in)
Speed: 63.9 km/h (34.5 knots)
Aircraft carried: 57(+16)

IJN Aircarft Carriers Ryujo Class

Ryujo (CV-4) 9 May 1933

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement: 10,600 t
Length: 179.9 m (590 ft 2.7 in)
Beam: 20.8 m (68 ft 2.9 in)
Speed: 29 kn (53.7 km/h;)
Aircraft carried: 48

IJN Aircarft Carriers Kaga Class

Kaga (CV-3) 30 November 1929

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement: 38,200 long tons
Length: 247.65 m (812 ft 6 in)
Beam: 32.5 m (106 ft 8 in)
Draught: 9.48 m (31 ft 1 in)
Speed: 28 knots (52 km/h; 32 mph) Aircraft carried: 90 (total

IJN Aircarft Carriers Akagi Class

Akagi (CV-2) 25 March 1927

Imperial Japanese Navy Aircraft Carrier of World War Two
Displacement:41,300 long tons
Length: 260.67 metres
Beam: 31.32 metres
Draught: 8.71 metres
Speed: 31.5 knots (58.3 km/h; 36.2 mph)
Aircraft carried: 66 (+25 reserve)